วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561


กาพย์เห่เรือ / เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร

ผู้แต่ง    เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ (เจ้าฟ้ากุ้ง)  พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ  ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย

รูปแบบ
แต่งเป็น  กาพย์ห่อโคลง  มีโคลงสี่สุภาพนำ  1  บท  เรียกว่าเกริ่นเห่  และตามด้วยกาพย์ยานี 11  พรรณนาเนื้อความโดยไม่จำกัดจำนวนบท

จุดประสงค์ในการนิพนธ์  
คือ  ช้เห่เรือเล่นในคราวเสด็จฯ โดยทางชลมารคเพื่อไปนมัสการพระพุทธบาท  จังหวัดสระบุรี  การเห่เรือ นอกจากจะเป็นที่สำราญพระราชอิริยาบถแล้ว  ยังเป็นการให้จังหวะแก่ฝีพายด้วย

เนื้อเรื่องย่อ  
กล่าวถึงขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ซึ่งประกอบด้วยเรือพระที่นั่งกิ่ง  และเรือที่มีโขนเรือเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ คือ  เรือ ครุฑยุดนาค เรือไกรสรมุข เรือสมรรถชัย เรือสุวรรณหงษ์ เรือชัย เรือคชสีห์ เรือม้า เรือสิงห์ เรือนาคา (วาสุกรี) เรือมังกร เรือเลียงผา เรืออินทรี  เห่ ชมปลา กล่าวพรรณนาชมปลาต่าง ๆ มี ปลานวลจันทร์ คางเบือน ตะเพียน กระแห แก้มช้ำ ปลาทุก น้ำเงิน ปลากราย หางไก่ ปลาสร้อย เนื้ออ่อน ปลาเสือ แมลงภู่  หวีเกศ ชะแวง ชะวาด ปลาแปบ  เห่ ชมไม้ เมื่อเรือแล่นเลียบชายฝั่ง ชมไม้ที่เห็นตามชายฝั่ง ซึ่งมี นางแย้ม จำปา ประยงค์ พุดจีบ พิกุล สุกรม สายหยุด พุทธชาด บุนนาค เต็ง แต้ว แก้ว กาหลง มะลิวัลย์ ลำดวน  เห่ชมนก เมื่อใกล้พลบค่ำเห็นนกบินกลับรัง ก็ชมนกต่าง ๆ มี นกยูง สร้อยทอง สาลิกา นางนวล แก้ว ไก่ฟ้า แขกเต้า ดุเหว่า โนรี สัตวา และจบลงด้วยบทเห่ครวญ เป็นการคร่ำครวญ คิดถึงนางที่เป็นที่รักในยามค่ำคืน
           ประเพณีการเห่เรือ  มีมาแต่โบราณ แบ่งเป็น 2 ประเภท  คือ  เห่เรือหลวง  และเห่เรือเล่น  เห่เรือหลวงเป็นการเห่เรือในราชพิธี  ส่วนเห่เรือเล่น ใช้เห่ในเวลาเล่นเรือเที่ยวเตร่  กาพย์เห่เรือเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร เดิมเป็นเห่เรือเล่น  ต่อมาในรัชกาลที่ 4  ใช้เป็นบทเห่เรือหลวง

คุณค่าที่ได้รับ
คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์
1. รูปแบบสอดคล้องกับเนื้อหา
2. ดีเด่นทางด้านการพรรณนาให้เห็นภาพ และให้อารมณ์ความรู้สึกดี
3. ศิลปะการแต่งดี  มีกลวิธีพรรณนาโดยใช้การอุปมา  การเล่นคำ  การใช้คำที่แนะให้เห็นภาพ คำที่นำให้นึกถึงเสียง  คำที่แสดงอารมณ์ต่าง ๆ ได้ดี
คุณค่าทางด้านสังคม
1. สะท้อนภาพชีวิตของคนไทยในปลายกรุงศรีอยุธยาที่ใช้การสัญจรทางน้ำเป็นสำคัญ เนื่องจากประเทศไทยมีแม่น้ำลำคลองมาก
2. ให้ความรู้เกี่ยวกับขบวนพยุหยาตราทางชลมารค  และประเพณีการเห่เรือ
3. สะท้อนให้เห็นขนบธรรมเนียมประเพณี  ต่านิยม  และความเชื่อของคนไทย เช่น ค่านิยมเกี่ยวกับความงามของสตรีว่าจะต้องงามพร้อมทั้งรูปทรง  มารยาท  ยิ้มแย้มแจ่มใส  และพูดจาไพเราะ ความเชื่อเรื่องเวรกรรมตามหลักพระพุทธศาสนา เป็นต้น




สามก๊ก ตอนกวนอูไปรับราชการกับโจโฉ


ผู้แต่ง  หลอกว้านจง (ล่อกวนตง)  ในสมัยราชวงศ์หมิง

ลักษณะการเขียน
   เรื่องสามก๊กเป็นร้อยแก้วที่ได้รับการยกย่องว่ามีสำนวนโวหารดี ถ้อยคำภาษาเรียบเรียง
ไว้อย่างสละสลวย จนมีนักประพันธ์ยุคหลังได้เลียนแบบสำนวนโวหารจากเรื่องสามก๊ก
ทั้งนี้เพราะว่าเป็นเรื่องที่บรรยายได้ดี และมีการดำเนินเรื่องดี ในการกล่าวถึงลักษณะ
นิสัยตัวละคร การสนทนา นอกจากสำนวนภาษาที่จัดว่าดีเยี่ยมแล้ว หนังสือสามก๊กยังอยู่
ในความนิยมของผู้อ่านไม่ว่าจะอยู่ในสมัยใด เพราะเนื้อเรื่องของสามก๊กนั้น ไม่ว่าจะ
จับเอาตอนใดขึ้นมาปรับใช้กับชีวิตคนในทุกยุคทุกสมัยได้เป็นอย่างดี

การใช้ภาษา
   สามก๊กเป็นเรื่องที่มีสำนวนเฉพาะตัว ได้รับการยกย่องว่ามีสำนวนโวหารดีเยี่ยม ทั้งใน
การเรียบเรียงถ้อยคำที่สละสลวย และการใช้โวหารอุปมาอุปไมย บรรยายโวหาร จนถือ
เป็นแบบอย่างการเขียนร้อยแก้วที่ดี ถ้อยคำสำนวนต่างๆล้วนเป็นสำนวนที่ติดใจคนอ่าน
ทุกยุคทุกสมัย

เนื้อเรื่องย่อ 
 นสมัยพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉตั้งตัวเป็นมหาอุปราชสำเร็จราชการแผ่นดิน และคิดกำจัดเล่าปี่ซึ่งขณะนั้นครองเมืองซีจิ๋วอยู่ โจโฉตีเมืองเสียวพ่าย และเมืองซีจิ๋ว ซึ่งเป็นหัวเมืองของจ๊กก๊กได้ เล่าปี่หนีไปตัวคนเดียวเข้าพึ่งอ้วนเสี้ยว โจโฉจึงคิดจะไปตี เมืองแห้ฝือ ที่กวนอู รักษาครอบครัวของเล่าปี่อยู่ในเมืองนี้ โจโฉได้ให้ เทียหยก ลวง กวนอู ออกมาจากเมืองแห้ฝือ และล้อมจับตัวกวนอูไว้ เทียหยก ได้ใช้อุบายปล่อยทหารของ เล่าปี่ ที่ โจโฉ จับเป็นเชลย เข้าไปเป็นไส้ศึกใน เมืองแห้ฝือ จน กวนอู เชื่อใจ แล้วให้ แฮหัวตุ้นคุมทหารไปท้ารบกับ กวนอู และสกัดทางไม่ให้กวนอูกลับเข้าไปในเมืองได้ กวนอู จึงคุมทหารหนีไปหยุดพักอยู่บนเขา ทหารไส้ศึก เปิดประตูเมืองรับโจโฉเข้าเมือง โจโฉให้จุดไฟเผาเมือง สำหรับครอบครัวเล่าปี่นั้นให้ทหารรักษาไว้ดังเดิม กวนอูตกอยู่ในวงล้อมของโจโฉ โจโฉ ต้องการ กวนอู ไว้ช่วงใช้ เตียวเลี้ยว นายทหารของโจโฉ อาสาเกลี้ยกล่อมกวนอูให้เข้ารับราชการกับโจโฉ เตียวเลี้ยว เดิมเป็นเบ๊ ของลิโป้ ติดตามลิโป้มาตั้งแต่อยู่เมือง ตันลิว จนลิโป้ได้ครองเมืองชีจิ๋ว แล้วถูกโจโฉตีแตก ขณะที่ลิโป้ถูกลากตัวไปประหาร ลิโป้โกรธเล่าปี่ ที่ไม่ช่วยเหลือจึงร้องด่าไตลอดทาง เตียวเลี้ยวถูกมัดคุมตัว เดินสวนกับลิโป้ ก็ให้สติกับลิโป้ว่า ว่า เกิดเป็นชายชาติทหารจะกลัวความตายทำไม กวนอูซึ่งอยู่ในที่นั้นด้วยได้ฟัง ก็เกิดความชื่นชมในความกล้าหาญของเตียวเลี้ยวจึงขอให้โจโฉไว้ชีวิตแก่เตียวเลี้ยว โจโฉก็ยกโทษตายให้เตียวเลี้ยว และรับไว้เป็นทหารของตนตั้งแต่นั้นเตียวเลี้ยวก็ได้รับราชการในสังกัดโจโฉ จนกระทั่งเล่าปี่เป็นศัตรูกับโจโฉตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองชีจิ๋วแทนลิโป้ โจโฉจึงยกทัพมาปราบปรามเล่าปี่หนีไปอยู่กับอ้วนเสี้ยว เตียวหุยหนีไปอยู่บนเขาบองเอี๋ยงสัน แต่กวนอูถูกล้อมอยู่ใกล้ เมืองแห้ฝือเตียวเลี้ยว นายทหารของโจโฉ อาสาเกลี้ยกล่อมกวนอูให้เข้ารับราชการกับโจโฉ 

คุณค่าด้านวรรณศิลป์
          การใช้ภาษา การเล่าเรื่องใช้บรรยายโวหารที่ประโยคไม่ซับซ้อน ใช้ภาษาไม่ยากแม้ว่าจะเป็นภาษาโบราณ สามารถเข้าใจได้ว่า ใครทำ อะไร ที่ไหน เมื่อใด อย่างไร แม้ว่าชื่อตัวละครและสถานที่จะมาจากภาษาจีนแต่ชื่อเหล่านั้นสะกดตรงตัว และมีวรรณยุกต์กำกับชัดเจนทำให้อ่านง่าย ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ว่า ตัวละครเป็นใครและมีบทบาทในเรื่องอย่างไรด้วยการพิจารณาจากบริบทประกอบ มีสำนวนเปรียบเทียบที่คมคาย บทสนทนาของตัวละครแสดงถึงวาทศิลป์ในการเจรจาความ มีการใช้ภาษาที่โน้มน้าวใจที่ดี


วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

วิชาภาษาไทย
    หน่วยการเรียนรู้ที่ 1


เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฎีกา



ประวัติผู้แต่ง
     วรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนมิกวีแต่งกันหลายคน  ในปลายสมัยอยุธยา และ ในสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้น ตอนที่ไพเราะส่วนมากแต่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒)การแต่งเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนไม่นิยมบอกนามผู้แต่ง มีเพียงการสันนิฐานผู้แต่งโดยพิจารณาจากสำนวนการแต่งเท่านั้นเสภาขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกาจึงไม่ทราบนามผู้แต่งที่แน่ชัด

ลักษณะคำประพันธ์
            
     เรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นคำประพันธ์ ประเภทกลอนเสภา  ๔๓ ตอน ซึ่งมีอยู่ ๘ ตอนที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดียอดเยี่ยมจากวรรณคดีสมาคม อันมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ทรงเป็นประธานโดยลงมติเมื่อ  พ..๒๔๗๔ 
และตอน  ขุนช้างถวายฎีกาเป็นหนึ่ง ในแปดตอนที่ ได้รับการยกย่อ ลักษณะคำประพันธ์กลอนเสภาเป็นกลอนสุภาพ เสภาเป็นกลอนขั้นเล่าเรื่องอย่างเล่านิทานจึงใช้คำมากเพื่อบรรจุข้อความให้ชัดเจนแก่ผู้ฟัง และมุ่งเอาการขับได้ ไพเราะเป็นสำคัญ สัมผัสของคำประพันธ์ คือ คำสุดท้ายของวรรคต้น ส่งสัมผัสไปยังคำใดคำหนึ่งใน  ๕  คำแรกของวรรคหลังสัมผัสวรรคอื่นและสัมผัสระหว่างบทเหมือนกลอนสุภาพ 





    เนื้อเรื่องย่อ
       ฝ่ายพลายงาม เมื่อชนะความขุนช้างแล้ว ก็อยู่มาด้วยความสุข แต่มาคิดว่ายังขาดแต่มารดา เห็นว่าไม่ควรคู่กับขุนช้าง แล้วคิดว่าจะรับแม่กลับมาอยู่กับขุนแผน  พอตกค่ำจึงออกเดินทางไปบ้านขุนช้าง สะกดผู้คน ภูตพราย และแก้อาถรรพณ์ แล้วสะเดาะกลอน เข้าไปถึงชั้นสามห้องนอน ถอนสะกดนางวันทอง แล้วเจรจากัน พระไวยแจ้งว่าจะมารับนางวันทองกลับไปบ้าน นางวันทองแนะนำให้นำเรื่องขึ้นกราบทูลพระพันวษา  พลายงามไม่เห็นด้วยและจะพาไปให้ได้ นางวันทองจนใจจึงยอมไปกับพระไวย  ขุนช้างตื่นขึ้นไม่พบนางวันทอง ให้บ่าวไพร่ค้นหาไม่พบ ฝ่ายพลายงามได้คิดว่า ถ้าขุนช้างรู้ว่าลักนางวันทองมา ก็คงจะนำความขึ้นกราบทูลสมเด็จพระพันวษา มารดาก็จะต้องโทษ คิดแล้วจึงให้หมื่นวิเศษผล ไปหาขุนช้างที่บ้าน ช่วยไกล่เกลี่ยเรื่องราว อย่าให้ขุนช้างโกรธ ด้วยเป็นคนที่เคยชอบพอกัน โดยให้บอกขุนช้างว่า ตนจับไข้อยู่หลายวัน เกรงว่าแม่ไม่ทันจะเห็นหน้า จึงให้คนไปพาแม่มา พอให้ตนหายไข้แล้ว จะส่งมารดาคืนกลับไป หมื่นวิเศษรับคำแล้วก็รีบไปบ้านขุนช้าง แจ้งเรื่องตามที่พระไวยสั่งมาทุกประการ ขุนช้างได้ฟังก็ทั้งโกรธและแค้น เมื่อข่มความโกรธแล้วก็ตอบไปว่า ไม่เป็นไรเรื่องการเจ็บไข้ ถ้าขัดสนสิ่งไรก็ขอให้มาเอาที่ตนได้ ว่าแล้วก็ปิดหน้าต่างใส่ ด้วยความเดือดดาลและแค้นใจ
       ฝ่ายขุนช้างร่างฟ้องเสร็จแล้ว ก็มาที่วังใน รออยู่ที่ใต้ตำหนักน้ำ พอสมเด็จพระพันวษาเสด็จกลับวังทางเรือตอนจวนค่ำ ขุนช้างก็ลงลอยคอเข้าถวายฎีกา  สมเด็จพระพันวษาเห็นเข้า ก็ทรงพระพิโรธ ให้รับฎีกาไว้ แล้วเอาตัวไปเฆี่ยนสามสิบที จากนั้นให้ตั้งกฤษฎีกาว่า ตั้งแต่นี้ไป ถ้าใครปล่อยให้ใครเข้ามาในล้อมวง ต้องระวางโทษเจ็ดสถาน ถึงประหารชีวิต
ฝ่ายขุนแผนได้อยู่กับนางแก้วกิริยา และนางลาวทองมาด้วยความผาสุก ตกกลางคืนคิดถึงนางวันทอง จึงออกเดินมาที่ห้องนางวันทอง ที่เรือนพระไวย ปลุกนางขึ้นมาสนทนาด้วย ได้พร่ำรำพันถึงความหลัง ที่ตกทุกข์ได้ยากด้วยกันมา นางวันทองแนะนำขุนแผน ให้นำความขึ้นเพ็ดทูลพระพันวษา และไม่ยอมตกเป็นของขุนแผน พอตกดึกก็ฝันไปว่า ถูกพยัคฆ์ตะครุบ คาบตัวไปในป่า ตกใจตื่น เล่าความฝันให้ขุนแผนฟัง ขุนแผนได้ฟังก็ใจหาย รู้ว่าฝันร้ายมีอันตราย วันรุ่งขึ้นสมเด็จพระพันวษาเสด็จออกว่าราชการ เห็นขุนช้างเข้าเฝ้าอยู่ จึงตรัสว่า เรื่องนางวันทองไม่รู้จบ เมื่อครั้งก่อน เรื่องตกหนักที่นางศรีประจัน ก็ตัดสินไปอยู่กับขุนแผน แต่ทำไมกลับมาอยู่กับขุนช้าง แล้วให้หมื่นศรีไปเอาตัวนางวันทอง ขุนแผนและพระไวยมาเฝ้าทั้งสามคนได้ฟังความก็ตกใจ ขุนแผนจึงจัดการช่วยเหลือนางวันทองด้วยเวทมนตร์ แล้วจึงพากันไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันวษาจึงตรัสถามนางวันทอง ถึงเรื่องราวแต่หนหลัง นางวันทองก็กราบทูลให้ทรงทราบ เมื่อทรงทราบแล้ว ก็กริ้วขุนช้างเป็นกำลัง แล้วตรัสถามนางวันทองต่อไปว่า เวลาล่วงไปแล้วถึงสิบแปดปี แต่ทำไมวันนี้จึงมาได้ นางวันทองก็กราบทูลว่า พระไวยไปรับเมื่อตอนกลางคืน สมเด็จพระพันวษาได้ฟัง ก็ทรงขุ่นเคืองพระไวย ที่ทำตามอำเภอใจเพราะแย่งชิงนางวันทองกัน จึงให้นางวันทองตัดสินใจว่า จะอยู่กับใคร หรือถ้าไม่อยากอยู่กับทั้งสองคน จะเลือกอยู่กับลูกก็ได้ นางวันทองเมื่อถึงคราวจะสิ้นอายุ ไม่สามารถตัดสินใจได้ จึงกราบทูลเป็นกลางไป หวังจะให้สมเด็จพระพันวษาตัดสิน ให้สมเด็จพระพันวษาได้ทรงฟังนางวันทองพูดแล้วก็พิโรธยิ่งนักตรัสประนามนางวันทองว่าเป็นหญิงหลายใจ อย่าอยู่ให้หนักแผ่นดิน ให้เอาตัวไปฆ่าเสีย